วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิริยะบารมี



วิริยะบารมี

วิริยบารมี หมายถึง ความเพียรพยายามอยู่ร่ำไปไม่ท้อถอย จนกว่าจะประสบผลสำเร็จ เพียรพยายามในการไม่ทำสิ่งที่เป็นบาปอกุศล และในการที่จะทำกุศลให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นความเพียรที่จะไม่ทำความชั่ว เพียรทำดี และเพียรชำระจิตของตนให้ผ่องแผ่ว

ความเพียรมีหลายด้าน ตั้งแต่ความเพียรพยายามอย่างธรรมดาไปจนถึงความเพียรพยายามอย่างสูงสุด แต่ความเพียรพยายามในทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญ อันจะเป็นเหตุแห่งวิริยบารมี มุ่งหมายเอาความเพียรพยายามที่จะพ้นทุกข์ และความเพียรที่จะต้องตั้งไว้เป็นเป้าหมายสูงสุด คือ สังวรปธาน เพียรละวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ภาวนาปธาน เพียรทำความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น อนุรักขนาปธาน เพียรทำความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งอยู่

พระพุทธเจ้าเมื่อยังมิได้ตรัสรู้ ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิบัติในวิริยบารมีอย่างแรงกล้า มุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเป้าหมายสูงสุด ๓ ขั้น ดังนี้

สัจจะบารมี

     
    
 สัจจะ แปลว่า ความสัตย์ ความซื่อ คนที่มี สัจจะ มีความรับผิดชอบต่องานที่ทำทุกอย่าง ไม่ปล่อยผ่านกับสิ่งที่ได้รับมา จะทำทุกสิ่งที่มาถึงมืออย่างสุดกำลังและเต็มความสามารถ

          ลักษณะของสัจจะมี ๕ ประการ คือ

          ๑. สัจจะต่อหน้าที่ เช่น พ่อ-แม่, บุตร-ธิดา, ภรรยา-สามี ต่างต้องมีหน้าที่ต่อกันและกันตามหลักสิงคาลกสูตร เป็นต้น ใครมีหน้าที่อะไรก็ต้องมีความรับผิดชอบ 
          ๒. สัจจะต่อการงาน คือ เมื่อตั้งใจทำงานชิ้นใดแล้วจะทำให้เต็มที่ ไม่เสร็จไม่เลิก มีแต่ต้องทำงาน ชิ้นนั้นให้สำเร็จและดีที่สุด 
          ๓. สัจจะต่อวาจา คือ เมื่อพูดอย่างไรก็ต้อง ทำอย่างนั้น เป็นผู้มีวาจาตรงกับใจ
          ๔. สัจจะต่อบุคคล คือ ไม่หน้าไหว้หลังหลอก คบกับใครต้องเป็นมิตรแท้กับคนเหล่านั้น ถึงขนาดยอมตายแทนกันได้

          ๕. สัจจะต่อความดี คือ มั่นคงต่อความดี ไม่หันเหไปในทางชั่ว ไม่ข้องเกี่ยวกับอบายมุขทุกชนิด คิดแต่จะทำความดี ไม่ว่าจะมีคนรู้หรือไม่ก็ตาม

ขันติบารมี


ขันตี จะ โสวะจัสสะตา เอตัมมังคะละมุตตะมันติ
ความอดทนคืออะไร ?
    ความอดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา  หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ซึ่งไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะมีคนเทอะไรลงไป ของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม  งานทุกชิ้นในโลกไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ ที่สำเร็จขึ้นมาได้นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนำแล้ว ล้วนต้องอาศัยคุณธรรมอันหนึ่งเป็นพื้นฐานจึงสำเร็จได้ คุณธรรมอันนั้นคือ ขันติ ถ้าขาดขันติเสียแล้ว จะไม่มีงานชิ้นใดสำเร็จได้เลย เพราะขันติเป็นคุณธรราสำหรับทั้งต่อต้านความท้อถอยหดหู่ ขับเคลื่อนเร่งเร้าให้เกิดความขยัน และทำให้เห็นอุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องท้าทายความสามารถ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของงานทุกชิ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม คืออนุสาวรีย์ของขันติทั้งสิ้น

เมตตาบารมี


เมตตาบารมี หมายถึง ไมตรีจิต ความรัก ความปรารถนาดีความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจดีต่อกัน ต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมตตาจัดเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งทำให้มองกันในแง่ดี หวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟัง และเจรจากันด้วยความเข้าใจ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีอคติ คือ ความโกรธ ความเกลียด เป็นที่ตั้ง เป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับสร้างความสามัคคีและเอกภาพของหมู่ชน ประกอบด้วยเมตตากายกรรม การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เมตตาวจีกรรม การพูดจากันด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนโยน ว่ากล่าวตักเตือนด้วยความหวังดีและจริงใจ เมตตามโนกรรม การมองกันในแง่ดี มีความปรารถนาดี มีความหวังดี มีความสงสาร มีความเห็นใจ อยากช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ คิดทำแต่สิ่งที่จะอำนวยประโยชน์สุขให้แก่กันและกัน

เนกขัมมะบารมี



เนกขัมมะ แปลว่า การออก, การออกบวช, ความไม่มีกามกิเลส ใช้คำว่า เนกขัม ก็มี
เนกขัมมะ หมายถึงการละเหย้าเรือนออกไปบวชเป็นพระเป็นนักบวช, การละชีวิตทางโลกไปสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ เป็นการปลดเปลื้องตนจากโลกียวิสัยไปบำเพ็ญเพียรเพื่อความปลอดจากราคะและตัณหา ปกติใช้เรียกการออกบวชของนักบวชทุกประเภทและใช้ได้ทั้งชายและหญิง
เนกขัมมะ ในพระพุทธศาสนาจัดเป็นบารมีอย่างหนึ่งเรียกว่า เนกขัมมบารมี คือบารมีที่เกิดจากการออกบวช

ปัญญาบารมี

             บารมีประการสุดท้ายที่กุงกาซังโปริมโปเชได้บรรยายไว้คือปัญญาบารมี หรือในภาษาสันสกฤตว่า “ปรัชญาปารมิตา” ปัญญาบารมีเป็นขั้นสุดท้ายของบารมีทั้งหกของพระโพธิสัตว์ และก็เป็นขั้นตอนที่ทำให้การบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเป็นไปได้ อาจกล่าวได้ว่าบารมีห้าประการแรก ได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ และสมาธิ เป็นขั้นตอนที่นำไปสู่การบรรลุบารมีที่หกนี้ ดังนั้นในแง่นี้ปัญญาบารมีจึงถือได้ว่าเป็นบารมีที่สำคัญที่สุดของพระโพธิสัตว์ อย่างไรก็ตามหากไม่มีบารมีที่มาก่อนทั้งห้า ปัญญาบารมีก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ด้วยเหตุนี้บารมีทั้งหกจึงมีสถานะเท่าเทียมกัน เนื่องจากไม่อาจขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แต่ถึงกระนั้้น
         
ปัญญาบารมีก็ยังมีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะเป็นแก่นแท้ของการบรรลุธรรมญญาบารมีได้แก่การรู้แจ้งเห็นจริงถึงสภาวธรรมตามที่เป็นอยู่จริงๆ และหัวใจของการรู้แจ้งนี้ก็คือการมองเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนเป็น “ของว่าง” หรือ “ศูนยตา” คำว่า “ศูนยตา” (หรือเขียนว่า “สุญญตา” ในภาษาบาลี) ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจและการตีความที่ไม่ถูกต้องเป็นอันมาก บางคนเข้าใจไปว่าอะไรที่เป็นของว่างก็คือไม่มีอะไรเลย สูญไปหมด ไม่เหลืออะไรไว้ ความคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง การเป็น “ของว่าง” 

ทาน



ทาน ก็คือ การให้ ถ้าจะพูดกันตามแนวของสมถภาวนา ก็เรียกกันว่า จาคานุสสติกรรมฐาน สำหรับทานนี่ก็แบ่งเป็นหลายขั้นด้วยกันคือ
            (1) ทานบารมีต้น
            (2) ทานอุปบารมี
            (3) ทานปรมัตถบารมี
            ทีนี้การให้ทานเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ถ้าเราจะพูดกันในด้านของหลักปฏิบัติ ว่าทำไมจึงต้องให้ทาน อันนี้ก็ขอบอกว่าเราต้องการความดับ ความดับในที่นี้ก็คือ พระนิพพาน

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อยู่กับกรรม

ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้นหลายคนอาจจะมีข้อสงสัยว่า เพราะเหตุใดชีวิตจึงได้พบกับอุปสรรค ความยากลำบากและเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร การงาน เงินทองที่ขัดสน ปัญหาครอบครัว การติดขัดในเรื่องต่างๆ มากมาย ที่หลายคนอาจจะยากที่จะรับมือไว้         ขอเรียนให้ทราบว่า ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ มาจาก”กรรม” ทั้งสิ้นสำหรับในเรื่องของกรรมนั้น วันนี้หลายคนคงรู้กันดีแล้วว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนทุกคน เพราะกรรมนั้นเป็นผู้ลิขิตเหล่าสรรสัตว์ทั้งปวง ไม่มีใครใหญ่เกินกรรมไปได้ ซึ่งมีทั้งกรรมทีทำในปัจจุบันและกรรมเก่าในอดีตแต่น่าเสียดายที่ยังมีหลายท่าน ที่อาจจะมองตัวว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ทางโลกที่สูง แต่ไม่เชื่อในเรื่องของกรรม กฎแห่งกรรม จึงปฏิเสธในเรื่องที่สำคัญมากเหล่านี้ หรืออาจจะยังคงขาดความเข้าใจมองไม่ครบด้าน จึงมีความรู้ที่ไม่เต็มรอบ และมีความเชื่ออย่างผิดๆ กันว่ากรรมที่กำลังส่งผลนั้นเป็นเรื่องของการกระทำในชาติปัจจุบัน ทำชาตินี้อย่างใดก็จะได้ในชาตินี้แบบทันตาเห็น ไม่มีเรื่องของชาติหน้าหรือชาติเก่าชาติไหนๆ ทั้งสิ้นซึ่งเมื่อได้ยินในความเชื่อเหล่านี้แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากและน่าเป็นห่วงสำหรับคนที่คิดอย่างนี้ เพราะกรรมเก่าที่เขาไม่เชื่อนี้แหละ มันสำคัญมากที่สุด ที่ทำให้เราทุกคนต้องทนทุกข์ทรมานวุ่นวายต่อไปอีกทั้งชีวิตและไม่มีทางสงบสุขและหนีรอดกรรมเก่าที่ว่านี้ไปได้แม้แต่คนเดียว!!!เพราะความเป็นจริงชีวิตของเราทุกคนนั้นที่ดำเนินอยู่ในทุกวันนี้ เปรียบเหมือนละครโรงใหญ่ที่กำลังโลดเต้นแสดงบทบาทกันอยู่นี้ บทละครที่เราเล่นมันถูกกำหนดขีดเส้นชะตาชีวิตไว้แล้วด้วยกรรม และมันขึ้นอยู่กับการกระทำทั้งในปัจจุบันกับกรรมเก่า ที่เป็นทั้งเรื่องของกรรมดีและกรรมชั่วในอดีต ที่ติดตามเรามาทุกภพ ทุกชาติเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน ที่เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผลของมันเกิดขึ้นตามมาเรากระทำการใดหรือก่อกรรมใดก็ต้องได้รับผลกรรมของมันกรรมนั้นหมายถึง การกระทำซึ่งมีทั้งดีและชั่ว  และผลของกรรมนั้นเราเรียกว่า วิบากกรรม แต่ยังมีหลายคนในสมัยนี้เอาคำว่ากรรมและวิบากกรรมพูดปนกันไปหมด ทั้งๆ ที่ความหมายนั้นคนละความหมายกันสิ้นเชิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนที่ได้รับวิบากกรรมนั้นไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย หรือเรื่องเดือดร้อนอะไร เรามักโทษโชคชะตา หรือที่ไม่เชื่อโชคชะตาก็มักจะพูดว่ามันเป็นเหตุบังเอิญ หรือไม่บางครั้งก็กล่าวโทษไปถึงเทวดา โทษพรหมลิขิต โทษคนอื่นหรือสิ่งอื่นเสมอส่วนมากเราก็มักจะโยนให้เป็นบาปกับเรื่องเคราะห์ เรื่องของความซวยที่ตัวเองไม่ตั้งใจเพื่อให้ตัวเองพ้นไป แล้วเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไปในความรู้สึกที่ง่ายๆ ไม่มีผู้ใดที่จะหาต้นเหตุที่จะเกิดผลเคราะห์กรรมแต่น่าแปลกใจตรงที่ ไม่ค่อยจะมีใครโทษตัวเองที่สร้างกรรมหรือก่อกรรมเอาไว้ !!!และที่สำคัญ อาจจะเป็นเพราะยังถูกเจ้ากรรมนายเวรเขาบังตาบังใจไว้และไม่รู้จักการทำบุญกุศลแบบที่ได้บุญจริงๆ เท่าที่ผ่านมาบุญกุศลที่เราทำมันอาจจะส่งผลได้น้อยมากๆ หรือแทบไม่เกิดผล อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หลายคนอาจจะกำลังหลงบุญ หลงทางกันอยู่และถ้าหากท่านใดที่มีความเชื่อในเรื่องกรรม และมีโอกาสได้ลองค้นคว้าหาสาเหตุต้นเรื่อง “กรรม” ก็คงจะเห็นได้ชัดว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นมีสาเหตุทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างลอยๆ ไร้สาเหตุเพราะ “ผล” นั้นย่อมเกิดจาก “เหตุ” และมี “ปัจจัย” เป็นตัวช่วยให้เกิดทั้งสิ้นถ้าจะเปรียบเทียบก็ไม่ผิดอะไรกับการที่เราปลูกข้าว ผลของมันก็ต้องออกมาเป็นเมล็ด จะเป็นพืชอื่นจะไปเป็นมะละกอ  จะไปออกเป็นส้มก็ไม่ได้   เราเคยทำอะไรไว้ เราก็ต้องได้รับผลของมันทั้งสิ้น เราหว่านอะไรไว้ เราก็ต้องได้อย่างนั้นทำดีก็ต้องได้ดี ทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่วตามนั้นเป็นกฎธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเก่งเกินกรรม  แต่กรรมใดจะมาส่งผล จะเป็นก่อนหรือหลัง ต้องเป็นไปตามคิวตามวาระของมัน ที่เราได้กระทำเอาไว้สะสมมาในหลายภพชาติ ตามกฎแห่งกรรมคำถามที่ว่า ทำไมเราต้องเรียนรู้เรื่องกรรม ก็ขออนุญาตตอบเสียตรงนี้เลยว่า เราเรียนรู้ เพื่อจะเข้าใจเรื่องกรรมแบบทะลุปรุโปร่ง  รู้แจ้งเห็นจริง เราเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่มีชีวิตอยู่ในความประมาทอีก เราเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุข เพราะจะให้ทำอย่างไรเราก็สลัดกรรมให้หลุด หนีไม่พ้น แม้จะตายไปอีกร้อยชาติพันชาติก็ตาม นอกจากไปสู่พระนิพพานหลุดพ้นไปแล้วเท่านั้น ซึ่งในผู้บุญบารมียังไม่พอ การไปถึงพระนิพพานคงยังต้องใช้เวลาอีกนานโขเลยทีเดียวแต่เราก็มีความสุขในภพภูมินี้ได้ ถ้าเรารู้เรื่องกรรมดีพอ และสร้างกรรมดี ละเว้นกรรมไม่ดีอย่างถูกต้อง มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในชาตินี้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอริยสงฆ์ที่เราทุกคนกราบไหว้ท่านได้อย่างหมดหัวใจ ท่านได้เทศนาสั่งสอนให้พวกเรารู้จักกรรมไว้นานแล้วว่า“ผู้สงสัยกรรม หรือไม่เชื่อกรรมว่ามีผล คือ ลืมตน จนกลายเป็นผู้มืดบอด อย่างช่วยไม่ได้ กรรม คือ การกระทำดีชั่ว ทางกาย วาจา ใจต่างหากผลจริง คือ ความสุขทุกข์ มนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่ง ที่พาให้มาเป็นเช่นนี้ ซึ่งล้วนผ่านกำเนิดต่างๆ มา จนนับไม่ถ้วนให้ตระหนักในกรรมของสัตว์ว่า มีต่างๆ กัน เพราะฉะนั้น ไม่ให้ดูถูกเหยียดหยาม ในชาติกำเนิด ความเป็นอยู่ของกันและกัน และสอนให้รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมดี กรรมชั่วเป็นของๆ ตน”เป็นจริงไหมที่ว่า ในภพชาตินี้เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปในอดีต แล้วไปบอก ไปเตือนกับตัวเองในชาติที่แล้วทำนองว่า“เฮ้ย ! หยุดๆ อย่าไปทำอย่างนี้น่ะ มันผิดศีล มันทำให้เราต้องตกระกำลำบากในชาติปัจจุบันนี้ เราอย่าไปฆ่าเขา อย่าไปขโมยของๆ เขา อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา อย่าโกหก อย่ากินเหล้า อย่าๆๆๆๆ สารพัดสารเพ”เราไม่มีทางที่จะกลับไปหยุดสิ่งที่เราเคยทำไปแล้วไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นเราได้ทำไปแล้ว และมันกำลังจะส่งให้กับเราในชาตินี้ จะเร็วหรือช้าก็มาถึงตัวแน่นอน มันเป็นเรื่องของกรรมเก่า ที่เกิดมาจากเหตุที่กระทำมาในอดีตทั้งนั้น แม้แต่ที่ท่านกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ บรรทัดแรกที่ท่านอ่านก็ล่วงไปแล้วเพราะเราเคยช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อยามเราเกิดวิกฤตในชีวิต จึงมีคนมาช่วย เรายังมีบุญเก่าที่เคยทำมา ช่วยหนุนนำให้เราผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้เพราะเราเคยคดโกงผู้อื่น เคยทำร้ายผู้อื่น วันหนึ่งเจ้าของตัวจริง เขาก็มีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะมาเอาคืน หรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องมีการสูญเสียเพราะเราเคยทำธรรมทาน เคยชี้นำคนให้รู้จักทำความดี ทำให้ชาตินี้มีปัญญาผ่องใส คิดอ่านอะไรก็รวดเร็ว แก้ปัญหาก็ตรงช่องทางเพราะเราเคยถวายพระพุทธรูป ชาตินี้จะมีร่างกายสมบูรณ์และผิวพรรณดี ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนแต่คงมีบางครั้งในชาตินี้  ที่เราอาจจะท้อและคิดว่าเราจะทำดีไปทำไม ทำแล้วเราได้อะไรบ้าง ในเมื่อทำแล้ว ไม่เห็นได้อะไรเลยมิหนำซ้ำยังได้ผลในสิ่งที่เราไม่อยากได้ทั้งๆ ที่เราก็คิดว่าทำดีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมหนอยังชาตินี้ยังไม่ได้ดี หรือเอาดีไม่ได้เลยบอกได้เลยว่าที่เป็นเช่นนั้น ก็เป็นเพราะว่าเราทุกคน ยังคงต้องชดใช้กรรมเก่าที่ส่งผลแรงกว่ากรรมดีที่กำลังจะตามมา และกรรมดีนั้นยังไม่ได้ถูกสร้างมากเท่าที่ควร หรือบุญยังมาไม่ทัน ยังไม่ถึงเวลาที่บุญนั้นจะส่งผลและในปัจจุบันกรรมเราก็ยังคงไม่ยอมหยุดการกระทำที่ไม่ดี ปล่อยให้กิเลส ความอยากได้ ความอยากมีเข้ามาครอบงำ ยังคงอยู่ในความประมาททั้งชีวิตที่เหลือเพียงน้อยนิดอยู่ หลายคนอาจจะเที่ยวไปยืมเงินยืมทองคนอื่น ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีปัญญา ไม่มีหนทางไปคืนเขาได้เที่ยวไปคดโกง ไปทำร้ายผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ก่อกรรมทำเข็ญให้ผู้อื่น หรือในบางก็ครั้งก็ไม่มีเจตนา แต่กรรมเก่ามันส่งผล และไม่มีบุญพอ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ กลายเป็นว่า ในชาตินี้ก็ยังทำกรรมไม่ดีเอาไว้อีกมาก กรรมไม่ดีเหล่านี้จะเป็นตัวขวางทางให้กรรมไม่ดีส่งผลไม่ได้ ยิ่งมีกรรมไม่ดีมากๆ กรรมดีจะส่งผลได้อย่างไรเหมือนน้ำที่มาไหล เพราะมีเศษขยะต่างๆ ไปอุดไปขวางไม่ให้น้ำนั้นไหล ซึ่งต้องเอาสิ่งสกปรกโสโครกนี้ออกไปเสียก่อน น้ำนั้นถึงจะไหลได้ เปรียบเหมือนน้ำที่ไม่สะอาด มีแต่ยาพิษหากเราดื่มเข้าไป ก็คงไม่รอด ต้องเอาน้ำนั้นไปกลั่นกรองหรือทำให้ยาพิษนั้นเจือจางที่สุดถึงจะเอามาดื่มให้เกิดผลดีต่อชีวิตของเราได้ในทางพระพุทธศาสนานั้น ได้บอกไว้เป็นสัจธรรมมากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้วว่า“สัตว์โลกนั้นย่อมเป็นไปตามกรรม” แล้วกรรม คือ อะไรกันแน่ มีความสำคัญอย่างไรกับเราบ้าง เรามาทำความรู้จักกันแบบง่ายๆ สบายๆ กันสำหรับคำว่า กรรม (ภาษาสันสกฤต : กรฺม, ภาษาบาลี : กมฺม) แปลว่า “การกระทำ” เป็นคำกลางๆ  ที่จะดีก็ได้ จะร้ายก็ได้ ซึ่งได้แก่ กระทำทางกาย เรียก กายกรรม ทางวาจา เรียก วจีกรรม และทางใจ เรียก มโนกรรมและทางแห่งการทำกรรม จำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมชาติที่เป็นมูลเหตุมี ๒ อย่าง คือ๑. กรรมฝ่ายไม่ดีคือกรรมชั่ว เรียก อกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมบถ๒. กรรมฝ่ายดี เรียก กุศลกรรม หรือ กุศลกรรมบถคำว่า อกุศลกรรมบถ แยกศัพท์ได้ คือ อ = ไม่ กุศล = ดี  ฉลาด กรรม = การกระทำ บถ = ทาง รวมเรียกว่า ทางแห่งการทำความไม่ดี หรือ ไม่ฉลาด มี ๑๐ อย่าง ซึ่งฝ่ายดีที่เรียก กุศลกรรมบถ ก็มี ๑๐ อย่าง เช่นเดียวกันกรรมฝ่ายดีหรือกรรมฝ่ายไม่ดีนั้น ก็สุดแต่ผลที่เกิดขึ้นจากกรรมนั้น ๆ ถ้าให้เกิดผลเป็นคุณเกื้อกูลแก่ตนเองและผู้อื่นก็เป็นกรรมดีที่เรียกว่า กุศลกรรม นั้นแปลว่า กรรมที่เป็นกิจของคนฉลาด หรือ บุญกรรม กรรมที่เป็นบุญ คือความดีเป็นเครื่องชำระล้างความชั่ว เช่น รักษาศีล ประพฤติธรรมที่คู่กับศีล หรือแม้กิจการที่ดีที่ชอบ ที่เป็นตามที่แสดงมาแล้วที่เป็นสุจริต ส่วนกรรมฝ่ายไม่ดี ที่ให้เกิดผลเป็นโทษเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อนเป็นกรรมชั่ว ไม่ดี เรียก อกุศลกรรมบถ แปลว่ากรรมที่เป็นกิจของคนไม่ฉลาด บาปกรรม กรรมเป็นบาป เช่น การประพฤติผิดในศีลธรรม ประพฤติทุจริตต่างๆ ที่ตรงกันข้ามกับกุศลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงตรัสไว้ว่า“ตัณหาเป็นกรรม สมุทัยคือ เหตุให้เกิดกรรม มรรคเป็นทางดับกรรม ฉะนั้น จึงไม่ต้องกลัวอดีต แต่ให้ระวังปัจจุบันกรรม และระวังใจ ตั้งใจให้มั่นไว้ในธรรม ธรรมก็จะรักษาให้มีความสวัสดีทุกกาล ทุกสถาน”สิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสั่งสอนไว้นั้น เพื่อเตือนสติให้เรา อยู่ในโลกแห่งปัจจุบันเพราะอดีตนั้นล่วงเลยไปแล้ว จงเพียรทำความดีเพื่อให้มีความสุขเราคงเคยได้ยินเรื่องสามล้อถูกหวย หรือคนที่บุญเก่าของเขาทำไว้มากและทำให้ชาตินี้เกิดโชคลาภที่ถูกหวยรางวัลที่ ๑ มีเงินแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิต จึงตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำ หลงระเริงในความบาป เที่ยวเตร่ใช้เงินแบบไม่มีปัญญาชี้นำซึ่งเป็นการที่เขาใช้ปัจจุบันกรรมในทางที่ไม่ดี เป็นการไปต้านบุญเก่าที่กำลังส่งผลไม่นานนักบุญเก่าที่ได้เงินมาหลายล้านก็หมดไปภายพริบตา กลับมาถีบสามล้องกๆ เหงื่อไหลไคล้ย้อย ต้องมีชีวิตที่กลับมาจนเหมือนเดิม ต้องอดมื้อกินมื้ออย่างเก่า และอับอายคนจนแทบจะมุดแผ่นดินหนีบางรายพอถูกหวย ก็มีเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตโผล่มาตามวาระ ตามมาทวงหนี้ทวงสิ้น มาขอเงิน ยืมเงิน หลอกหลวง สารพัด ทำให้อยู่ที่ไหนก็ไม่เป็นสุข ต้องหลบหนีไปอยู่ที่อื่น หรือทำอะไรก็ได้ให้เงินมันหมดเร็วๆ จะได้ไม่มีใครมากวนหัวใจ ไม่นานนักเงินก็จึงหมดลง ต้องตกอยู่ในวิบากกรรมต่อไป เพราะบุญเก่าหมดและไม่ได้สร้างเพิ่มมาช่วย จึงต้องรับกรรมเก่าที่ตามมาทันในชาตินี้            และเป็นเวลานานมากแล้ว ที่ครูบาอาจารย์หลายท่านของเรา ท่านได้ค้นพบถึงวีธีการที่จะมีชีวิตอย่างไม่ประมาท การเฝ้าระวังและรู้เท่าทันปัจจุบันกรรม ซึ่งจะมาจากผลบุญกุศลที่มีจุดกำเนิดจากการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ที่ถูกวิธีและตรงช่องทาง ก็จะช่วยในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของเราในชีวิตได้ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราทุกคนได้เข้าใจและเพียรประกอบกรรมดีต่อไป ไม่สร้างกรรมที่ไม่ดี ไม่เบียดเบียนกันและกัน เพื่อส่งผลให้เราทุกคนมีความสุขทั้งในปัจจุบัน และทุกภพ ทุกชาติต่อไป           ท่านได้เมตตาสอนว่าเราทุกคนควรต้องทำปัจจุบันกรรมให้ดี เพื่อให้ชีวิตที่เหลืออยู่นั้นมีความสุข ทำปัจจุบันกรรมให้ดีเพื่อให้บุญใหม่นั้นไปช่วยลบล้างกรรมเก่าที่เคยทำมา หรือที่ยังมีอยู่ให้เบาบางลงไปได้            และอย่าไปคิดน้อยใจเป็นอันขาด ว่าทำไมหนอเรารู้จักเรื่องบุญหรือกรรมช้าไป ขอให้คิดเพียงว่า เป็นโอกาสที่ดีแล้วในชีวิตที่เราได้เรียนรู้ในตอนนี้ไม่มีคำว่าสาย  ถ้าไม่มีวิบากกรรม เราก็คงไม่รู้จักบุญและกรรมที่แท้จริงก็ได้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ทำในกรรมที่ดีได้ตลอดเวลา วินาทีนี้ เดี๋ยวนี้ ยังไม่สายเกินไปน้ำนอกแก้วที่มันหก มันระเหยไปแล้ว ขอให้อย่าไปนั่งคิดเสียดายเลย มันเปล่าประโยชน์ไปแล้ว มันหมดไปแล้ว เอาเวลาที่เหลือมาดูแลน้ำในแก้วที่เหลืออยู่ดีกว่า ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้มันหก ไม่ให้มันกระฉอกหายลดลงไปอีกการศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม และกรรมเก่านั้นก็เป็นเรื่องที่ดียิ่งสำหรับมนุษย์ทุกคน แต่ขอให้เป็นเพียงรู้เพื่อจะไม่ไปสร้างกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เอากรรมเก่าและผลเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนเอามาเป็นครูบาอาจารย์เพื่อนำมาเตือนสติตัวเองให้เกิดปัญญาที่ถูกต้อง เพื่อมายับยั้งชั่งใจถ้าคิดจะทำอะไรนอกลู่นอกทาง ที่อาจจะไปสร้างกรรมไม่ดีขึ้นมา ก็จะรู้ว่าผลจากการกระทำนั้นจะทำให้ชีวิตมีแต่ความทุกข์ยากลำบาก ก็ไม่ลงมือทำลงไปทั้งกาย วาจา ใจแต่ชีวิตของคนเราทุกคนนั้น อย่าไปยอมจำนนต่อกรรมเก่า ตกเป็นทาสของกรรมเก่าจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่ยอมทำอะไรเลย นอนรอกรรมเก่าอย่างเดียวพระพุทธองค์ได้เคยตรัสไว้ว่าลัทธิกรรมเก่าหรือปุพเพกตเหตุวาท นั้นเป็นลัทธิความเชื่อที่อยู่นอกศาสนาพุทธ ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระองค์และแน่นอนว่า ความเชื่อ สิ่งใดหรืออะไรก็ตามที่อยู่นอกศาสนาพุทธนั้นไม่ใช่ทางที่จะทำให้มนุษย์นั้นหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้พวกคลั่งลัทธิกรรมเก่า จะมีความเชื่อที่ว่า สิ่งใดก็ตามที่ได้ประสบ จะเป็นสุขก็ตามทุกข์ก็ตาม มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ตาม ล้วนเป็นเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อนซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่ที่น่าสงสารก็คือ คนพวกนี้จึงยอมจำนนต่อกรรมเก่า โดยไม่ยอมทำอะไรเลยเพื่อจะไปแก้ไขให้มันดีขึ้น ซึ่งน่าสงสารมากที่ปล่อยให้ชีวิตของตนเหมือนกับท่อนไม้ลอยไปตามยถากรรมในศาสนาพุทธ สอนให้ทุกคนอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับกรรมในปัจจุบัน ไม่พะวงหรือติดยึดกับกรรมเก่า รู้เพียงรู้แล้วอย่าไปทำแบบเดิมๆ ให้ชีวิตต้องทนทุกข์อีกอดีตนั้นบอกถึงสภาวะในปัจจุบัน และปัจจุบันจะเป็นตัวบอกว่า อนาคตของเรานั้นเป็นอย่างไรกรรมเก่าที่เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องของกฎแห่งกรรมนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราทุกคนได้ตระหนักถึงความจริงในชีวิตว่า ชีวิตของเรานั้นในชาตินี้ที่พบกับความทุกข์ยาก ความลำบากในการมีชีวิตไม่ว่าจะด้วยการพิการ ความไม่มี ความขัดสนจนเงินทอง การไม่มีเกียรติ การโดนดูถูกเหยียดหยามเราทุกคนสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ด้วยการกระทำกรรมดีที่เป็นกรรมใหม่ของเราเองได้ชีวิตของเรานั้นไม่ได้จะดีขึ้นมาได้ ด้วยการดลบันดาล การช่วยเหลือของเทพยดาหรือใครหน้าไหนทั้งสิ้นแบบเต็มร้อย เราต้องมีกรรมดีของเราเอง ในส่วนที่ท่านช่วยนั้นเป็นด้วยความเมตตา แต่ไม่ได้ช่วยทั้งหมด มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตก็วิ่งไปหาท่าน สารพัดที่จะบนบานหวังที่จะให้ท่านช่วย อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจว่าหลายคนหมดอาลัยตายอยาก คิดสั้นๆ เพียงว่า ชีวิตที่ดีหรือตกต่ำเป็นเพราะพรหมนั้นลิขิตหรือกำหนดมา ก็จึงไม่คิดจะทำ จะสร้างอะไรให้ตนเองนั้นดีขึ้นมาหลายคนจึงปล่อยชีวิตเหมือนขอนไม้ หรือปลาตายที่สุดแต่กระแสน้ำจะพัดพาไป ดูแล้วน่าเศร้าใจยิ่งนักกฎแห่งกรรมที่พระพุทธองค์นั้นทรงค้นพบ และนำมาสั่งสอนโปรดสัตว์โลก ก็เพื่อช่วยให้เรามีปัญญา มีใจที่สว่างเห็นความถูกต้องที่เป็นเหตุและเป็นผล เห็นคุณค่าของความเพียร ความมานะบากบั่นที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นผมอยากจะยกตัวอย่างของคนสองคนมาเปรียบเทียบให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัสเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของกรรมเก่าและกรรมใหม่คนแรกนั้นชื่อ สมพร เขาเป็นคนพิการมาตั้งแต่เกิด ขาทั้งสองข้างนั้นลีบเดินไม่ได้ เขาเป็นคนที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เขาจึงพยายามศึกษาเรียนรู้ว่า สาเหตุอะไรที่เขาต้องมาพิการมีชีวิตที่แสนลำบากแบบอย่างนี้เขารู้ว่า เพราะในอดีตชาติซึ่งไม่รู้ว่าชาติไหนแน่ ตัวเขาเองนั้นต้องเคยทำกรรมไม่ดีบางอย่างเอาไว้ที่มาส่งผลในชาตินี้ อาจจะเคยกักขัง หน่วงเหนี่ยวทรมานสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตให้ทนทุกข์ทรมานอาจจะบังคับให้สัตว์นั้นไปไหนไม่ได้จนสัตว์นั้นขาพิการ ชาตินี้เขาจึงต้องเกิดมาชดใช้กรรมที่เขาก่อขึ้น เกิดมาลืมตาดูโลกกรรมนั้นตามสนองต้องกลายมาเป็นคนพิการเดินเหินแบบคนปกติเขาไม่ได้เขาเข้าใจถึงที่มาแล้วว่า ทำไมเขาต้องรับผลจากการกระทำที่ผ่านมา เขารู้ดีว่าไม่มีใครใหญ่เกินกรรมไปได้ และเขาไม่มีทางย้อนเวลาไปแก้กรรมนั้นได้ เพราะกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้วในอดีตดังนั้นในชาตินี้ภพนี้ เขาจึงพยายามที่แก้ไขในปัจจุบันเท่าที่เขาทำได้ เมื่อครูบาอาจารย์ชี้ทางสว่างว่า บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริง เขาจึงเพียรทำบุญกุศลทุกครั้งที่มีโอกาส และอุทิศบุญกุศลเพื่อไปขออโหสิกรรมต่อดวงจิตวิญญาณที่เขาเคยทำกรรมไม่ดีเอาไว้ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ชื่ออะไรอยู่ที่ไหน แต่เขาทำเพราะด้วยความสำนึกผิดจริงๆ แล้วทุกคนที่เขาทำบุญ เขาก็มีกำลังใจในการสู้ชีวิตเมื่อทำบุญคราใดเขาก็จะอธิษฐานทุกครั้งว่า ด้วยบุญกุศลที่เขาทำไปนั้น ขอจงส่งผลให้ชาติหน้าฉันใด ขอให้เขาได้เกิดมามีร่างกายที่ครบถ้วนเหมือนคนอื่นทั่วไป ขอให้ความขัดข้องและความไม่มีจงอย่างบังเกิดขึ้นกับเขาอีกเลยในชาติปัจจุบันรวมไปถึงชาติต่อไปจนกว่าจะถึงนิพพาน คือ การไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ซึ่งเขาคิดว่าเป็นการกระทำที่ดีที่สุดเท่าที่เขาทำได้แล้วในชาตินี้เพราะเมื่อทำบุญครั้งใดจิตใจของเขาก็ผ่องใส มีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตที่เหลืออยู่ เหมือนมีน้ำใหม่เข้ามาเติมชีวิตที่แห้งแล้งของเขาให้รู้สึกชื่นช่ำ  เขาเชื่อว่า กรรมดีหรือการกระทำดีใหม่ในชาตินี้ จะมีผลต่อชีวิตเขามากที่สุดตราบที่เขายังมีลมหายใจอยู่ในชาตินี้เขาก็พยายามที่จะระมัดระวัง ไม่ไปเบียดเบียนใครทั้งสิ้น และมีเมตตาต่อสัตว์และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ขยันขันแข็งไม่งอมืองอเท้า แม้จะพิการก็สู้ชีวิตแบบยิบตาเพราะเขารู้ดีแล้วว่า การทำดีของเขาจะต้องส่งผลให้เขาในภายภาคหน้า เขามีเมตตาและการให้ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รักของคนทั้งปวงที่อยู่แวดล้อมเขาสมพรอดทนเพียรพยายามทำความดี และเมื่อใจเขามีกำลังเพราะเขารู้จักการทำทาน ถือศีล และมีปัญญาที่มาจากการทำสมาธิ ทำให้เขากลายเป็นคนที่ภาษาชาวโลกสมัยใหม่เรียกว่า คิดบวกและทำบวกอยู่ตลอดเวลาเขาจึงคิดอยู่เสมอว่า ตัวเขาเองยังโชคดีมากกว่าคนอื่นหลายเท่านัก แม้ขาจะพิการ แต่ยังมีแขนเหลืออีกตั้ง 2 ข้าง มีหูตาที่ดีกว่าคนอื่นอีกหลายคน เขาพยายามที่จะหาอาชีพที่สุจริตทำ ไม่ทำตัวให้น่าสมเพชไม่เป็นภาระให้คนอื่น  เขาไม่ยอมมีชีวิตอยู่มานั่งให้ใครหน้าไหนก็ตามมาลิขิตชีวิตของเขาเขาเชื่อในเรื่องกรรมเก่า แต่ไม่ไปนั่งฟูมฟายเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมันเกิดขึ้นมาแล้วเขารู้ดีว่าถ้าเขาลงมือทำเมื่อใด เขาก็จะได้รับผลดี ไม่ใช่มีเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดจะมาดลบันดาลช่วยเขาทุกอย่าง ทุกเรื่องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ เขาเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง แต่ท่านจะช่วยคนที่ลงมือทำความดีเท่านั้นเขารู้ดีว่าอันดับแรก ที่จะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นก็คือ ตนนั้นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน เขาจึงเร่งในการสร้างกรรมใหม่ในปัจจุบันเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนให้เป็นไปในทางที่ดีงามซึ่งผิดกับคนที่สองที่ชื่อ ทวีเดช ที่มีอวัยวะครบถ้วนทั้ง 32 ประการ ซึ่งก็เรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรมเช่นกัน แต่กลับไปเน้นที่กรรมเก่าและการยอมจำนนต่อกรรมเก่า ทวีเดชนั้นเกิดมาเป็นคนหัวไม่ดีนัก หรือเรียกว่า สติปัญญาน้อยเขาเรียนรู้มาเช่นกันว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะกรรมเก่า ที่ชาติหนึ่งชาติใดในอดีต เขาอาจเคยเป็นผู้ทำตัวเสเพล เมาสุรา มั่วสุมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ผลต่อสมองหรือเป็นผู้ชักนำมีส่วนเกี่ยวข้องให้คนอื่นร่วมทำกรรมไม่ดีนี้ด้วยพอมาในชาตินี้ เขาจึงมีสติปัญญาที่ไม่ดีนัก เมื่อรู้อย่างนี้ก็หมดอาลัยตายอยาก คิดว่าตัวเองนั้นสมองไม่ดีแล้ว ทำอย่างไรก็คงไม่ดีขึ้น ดูถูกตัวเองว่าไม่มีทางสู้คนอื่นเขาได้ ก็เลยปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม แบบว่าอะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด ไม่มีความมานะอดทนที่จะเสาะแสวงหาความรู้ หรือสร้างกรรมดีใหม่เพื่อมาลบล้างกรรมเก่าทั้งๆ ที่รู้จักกรรมแต่ทำไม่ไม่รู้ตัวเองว่า เพราะขาดความเพียร ความมานะบากบั่น จึงทำให้เรียนได้ไม่สูง ไม่เพียงพอที่จะหางานดีๆ เลี้ยงชีวิตตัวเองและตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้ เมื่อมาได้เมียก็เพราะความไม่มีปัญญามากพอขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง บอกกับตัวเองว่าไม่มีทางเลือกเพราะพรหมลิขิตไว้แล้ว แทนที่จะใช้ปัญญาเลือกจากคนที่มีศีล มีปัญญา มีศรัทธา มีการให้ที่เท่ากัน เสมอกันเมื่อยอมจำนนต่อกรรมแบบนั้น ชีวิตของทวีเดชจึงมีแต่ความวุ่นวายมากกว่าความสุข ต้องตกระกำลำบากอดมื้อกินมื้อ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยแทนที่จะพิจารณาว่ามาจากสาเหตุใด กินอาหารไม่ครบมื้อ ขาดสารอาหารอะไร ทำไมถึงทำให้เป็นโรคร้ายไม่ดูแลร่างกายตนเองเมื่ออากาศเปลี่ยน หรือแม้กระทั่งโรคที่เป็นอยู่ประจำเพราะมาจากกรรมพันธุ์ ทวีเดชไม่รู้ที่มาที่ไป ปล่อยให้พฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องของตนเองก่อให้เกิดโรค แทนที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อจะป้องกันโรคก็ไปโทษว่าเป็นโรคเวรโรคกรรมเก่าทั้งนั้นชีวิตของทวีเดช จึงเป็นชีวิตที่รู้จักกรรมแต่ไม่เข้าใจในกรรมดีพอ เหมือนตกนรกทั้งเป็น แต่สมพร ผู้ไม่ยอมจำนนต่อกรรมเก่า เหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นแม้ร่างกายพิการเหมือนคนที่เป็นเมียแล้วถูกผัวซ้อม และทำร้ายหัวใจต่างๆ นานา ร้อยทั้งร้อยที่เป็นคำแนะนำที่ฝ่ายหญิงมักจะได้รับจากผู้เห็นใจหรือเพื่อนๆ ญาติพี่น้องก็คือ ทำใจเสียเถอะมันเป็นกรรมเก่าหรือผลของกรรมที่ทำมา เพราะกรรมเก่าจึงต้องมานั่งทนทุกข์ ชดใช้กรรมนั้นจนกว่าจะหมดสิ้นกันไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหมดเสียที นอกจากจากตายจากกันไปหรือหนีไปนี่คือ ตัวอย่างของการอ้างกฎแห่งกรรม มาใช้ที่ทำให้ผู้คนยอมจำนนต่อปัญหา จำนนต่อกรรมที่เห็นได้ชัดจริงอยู่การเลือกผู้ชายมาเป็นผัวนั้น ฝ่ายหญิงนั้นคิดผิดตั้งแต่แรกแล้วที่หลับหูหลับตาหรือมีกรรมอะไรมาบังตาจนไม่เห็นความเลวร้ายที่ซุกซ่อนอยู่หรือเป็นเพราะกรรมนั้นลิขิต ที่ต้องมาชดใช้กัน จึงหลงเลือกผู้ชายไม่ดีมาเป็นผัว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พอจะรับฟังได้แต่ในเวลาต่อมา ที่ทนยอมให้ผัวทำร้ายเตะต่อยนั้น ส่วนหนึ่งเราต้องใช้สติปัญญาพิจารณากันอย่างละเอียดว่าไม่ใช่เรื่องของกรรมเก่าหรือการชดใช้กรรมแล้ว แต่เป็นการสร้างกรรมใหม่ และกรรมใหม่ที่ผู้หญิงเลือกที่จะสร้างขึ้นมาแล้วให้ผู้ชายมาทำร้ายนั่นเอง ต้องมานั่งพิจารณาว่า ฝ่ายหญิงนั้นบกพร่องในเรื่องใดฝ่ายหญิงเป็นคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้าเมายา ติดการพนัน จนการงานไม่ทำ งานบ้าน ลูกเต้าไม่ดูแลหรือไม่ฝ่ายหญิงเป็นผู้มักมากในกาม คบชายชู้ หรือทำตัวสำส่อนหรือไม่ฝ่ายหญิงไม่รู้จักปรับปรุงเนื้อตัว ปล่อยตัวเองตามยถากรรม เหมือนผีบ้า ใครเขาจะพาไปไหนด้วย โกหกไฟแลบ เที่ยววิ่งยืมเงินคนสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวหรือไม่กรรมใหม่ที่สร้างขึ้น นี่แหละที่เป็นตัวการทำให้เธอต้องพบกับความเลวร้ายในชีวิต พูดอีกอย่างก็คือ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายหญิง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการกระทำในปัจจุบันของเธอเอง ไม่ใช่เป็นเพราะกรรมเก่าในอดีต ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติที่แล้ว แต่เป็นกรรมใหม่หรือการกระทำใหม่ล้วนๆ ที่เธอสร้างขึ้นมาเป็นที่น่าเศร้าใจมาก ที่ทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจที่ผิดๆ เหมือนกับทวีเดชและผู้หญิงที่ถูกผัวทำร้ายและยอมแพ้ ยอมจำนนต่อกรรมเก่าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองทั้งหมดล้วนเป็นเพราะกรรมเก่าทั้งสิ้นเมื่อเกิดอะไรขึ้นไม่ดีไม่งาม เกิดอุปสรรคต่างๆ ในด้านการทำงาน การขัดสนเงินทอง การทะเลาะเบาะแว้ง การผิดประเวณี ครอบครัวแตกแยกเกิดอุบัติเหตุ เจ็บไข้ได้ป่วย ฯลฯแทนที่จะเร่งสร้างการกระทำใหม่ที่ดี โดยมีกรรมเก่าเป็นบทเรียน กลับไปโทษสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง  แพะรับบาปตัวแรกก็คือ ไอ้กรรมเก่านี่แหละทุกวันนี้เรื่องของกรรมเก่า ถูกนำมาใช้เพื่อสะกดสมองและจิตใจให้ผู้คนยอมจำนนกับปัญหา โดยไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองหรือสถานการณ์ที่เลวร้ายให้กลับมาเป็นดีซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องนักคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาที่มีมากว่า 2,500 ปี ในเรื่องของการสร้างบุญกุศลที่เป็นกรรมดี การเพียรพยายามทำสิ่งที่ดีสู่ตัวเองและผู้อื่น การละเว้นความชั่ว พยายามที่จะควบคุมจิตใจประพฤติตนให้อยู่ในศีล ในธรรมนั้นเป็นของวิเศษ เป็นกรรมใหม่ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วเป็นระยะเวลายาวนานว่า จะทำให้ชีวิตของคนทุกขึ้นดี เจริญขึ้น จะสุขหรือทุกข์น้อยลงเพียงใด ก็ขึ้นอยู่ที่ใครจะทำกรรมดีมากหรือน้อย ละเว้นกรรมไม่ดีได้เท่าใดเป็นกรรมใหม่ในปัจจุบันที่เราทุกคนควรทำเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ผ่านมาอย่าไปเสียดาย เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ชีวิตเป็นของเราเองพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ที่คนไทยรู้จักกันดีนั้น เป็นพระเมตตามหากรุณาธิคุณของในหลวงองค์ปัจจุบันของเรา เพื่อการเตือนสติเราทุกคนไม่ให้ยอมแพ้ต่อกรรมและโชตชะตา ที่มีเนื้อเรื่องว่า ครั้งหนึ่งมีพ่อค้า 700 คน คนพวกนี้อยากรวยก็พากันลงเรือกันไปจะแสวงหาโชคลาภรอแล่นได้มาระยะทางหนึ่ง เจอกับพายุใหญ่พอเรือล่มพ่อค้า 700 คนเหล่านั้น ก็ไม่ทำอะไรพากันคุกเข่าอ้อนวอนเทวดาให้ช่วย สุดท้ายก็เลยจมน้ำตายหมด แต่พระมหาชนกไม่ทรงอ้อนวอน พยายามช่วยตัวเองทุกทาง ว่ายน้ำทวนกระแสกรรมแบบไม่ยอมแพ้ จนพระมหาชนกพบกับความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาในเรื่องของบุญและคุณงามความดีที่เราทำขึ้นมาใหม่นั้น มีฤทธิ์และพลังอำนาจที่สามารถจะไปช่วยผ่อนคลายกรรมเก่าที่เรากลัวหนักกลัวหนาเหมือนกับพยุร้ายที่จะพัดให้เรือชีวิตนั้นอับปาง บุญจะช่วยให้คลายจากที่หนักเปลี่ยนมาเป็นเบาได้ ดังที่ครูบาอาจารย์หลายท่านค้นพบและได้สอนอยู่เสมอว่ากรรมดีและบุญฤทธิ์นั้นสามารถที่จะคลายกรรมเก่าได้โดยเฉพาะคนที่เชื่อว่ามีกรรมเก่าส่งผลแต่ไม่ยอมจำนน  ยังมีเจ้ากรรมนายเวรนั้นตามราวีจนทุกข์ทรมาน มีปัญหามากมายในชีวิต บุญกุศลที่เราทำนี้ ยังสามารถไปขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเหลือเพียงดวงจิตวิญญาณที่ตามราวีเราไม่เลิกรา ให้เขายกโทษเปลี่ยนใจอโหสิกรรมให้เพื่อให้กรรมที่เราเคยทำกับเขานั้นส่งผลน้อยเท่าที่สุดหรือในบางกรรมนั้นตามมาส่งผลในชาตินี้ไม่ได้ เพราะเบาบางมาก แต่ถึงอย่างไรก็ดี  เราก็คงต้องได้รับเศษเวรเศษกรรมนั้นอยู่ดี เพราะกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว จะเบาจะหนักหนาเพียงใด ก็ขึ้นอยู่ที่กรรมนั้นกำหนดจะส่งผลเมื่อใด หนักหนาเพียงใด ในชาตินี้หรือชาติไหนไม่มีใครล่วงรู้ได้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมอย่างน้อยถ้าไม่เชื่อในเรื่องกรรมเก่านี้ การทำความดีทั้งต่อตนเองและคนอื่น เชื่อว่าน่าจะเป็นทางที่ถูกต้องที่นำไปสู่ความเจริญ และจะทำให้เป็นที่รักนิยมชมชอบของคนทั้งปวงได้หลักจากนี้ต่อไป จะเป็นการแนะนำในเรื่องของการสร้างบุญกุศลที่มีพลังอำนาจมากพอ ที่จะช่วยให้ทุกคนผ่อนคลายในเรื่องของวิบากกรรมไม่ดีลง เพื่อให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญได้ตามที่ตนปรารถนา แต่ทั้งนี้นั้นขึ้นอยู่ที่บุญจะพาไปทั้งสิ้นใครที่ไม่เชื่อในเรื่องบุญและกรรมนั้น ก็ขอให้นึกเสียว่าเป็นความรู้อีกแขนงหนึ่งที่ รับรู้ไว้ไม่เสียหลาย แต่จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อคนที่เชื่อที่จะทำให้ชีวิตทุกคนเจริญ มีความสุขได้อย่างแน่นอนแต่ขอบอกอย่างหนึ่งว่า เรื่องที่จะพูดถึงในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์ หรือชักนำให้หลงและงมงาย โปรดตั้งสติ มีสมาธิในการอ่าน และพิจารณาด้วยปัญญา ในบางบรรทัดที่มีการกล่าวอ้างชื่อครูบาอาจารย์คนสำคัญไว้ เพื่อแสดงความกตัญญูและเพื่อบูชาพระคุณความดีของท่าน ที่ได้พยายามสอนสั่งให้ทุกคนเข้าใจ และนำไปปฏิบัติให้เกิดผลดีต่อชีวิตของทุกคนและสิ่งที่ท่านจะได้พบภายในหนังสือเล่มนี้ ขอให้เป็นไปตามแรงสัตยาอธิษฐานของผู้เขียน ที่จะพยายามอธิบายในเรื่องกรรมต่างๆ และวิธีการเชื่อมบุญ พึ่งบุญ ทำบุญ แรงบุญที่ยิ่งใหญ่ให้เข้าใจอย่างชัดเจนในทุกเรื่อง เท่าที่บุญของผู้เขียนจะพาไปได้ จะเกิดผลมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับบุญและกรรมที่เราทุกคนร่วมกันทำมาจะอธิบายรวมไปถึงการแก้กรรมหรือการไปขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรที่ได้ผล เรียกว่าพยายามให้สมบูรณ์ทั้งสองทาง ทั้งเพิ่มบุญและแก้กรรมไปพร้อมๆ กัน และเชื่อว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป ชีวิตของเราทุกคน ต้องมีความสุขได้แน่นอนในบทต่อไป เรามารู้จักเจ้ากรรมนายเวรกันอย่างละเอียดว่า เขาเป็นใคร มีจริงหรือไม่และที่สำคัญ เจ้ากรรมนายเวรพวกนี้เราจะรับมือเขาอย่างไรดีถึงจะถูกธรรมและเกิดผลดีต่อชีวิตของเรา