วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทาน



ทาน ก็คือ การให้ ถ้าจะพูดกันตามแนวของสมถภาวนา ก็เรียกกันว่า จาคานุสสติกรรมฐาน สำหรับทานนี่ก็แบ่งเป็นหลายขั้นด้วยกันคือ
            (1) ทานบารมีต้น
            (2) ทานอุปบารมี
            (3) ทานปรมัตถบารมี
            ทีนี้การให้ทานเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ถ้าเราจะพูดกันในด้านของหลักปฏิบัติ ว่าทำไมจึงต้องให้ทาน อันนี้ก็ขอบอกว่าเราต้องการความดับ ความดับในที่นี้ก็คือ พระนิพพาน
            นิพพาน หรือ นิพพะ ก็แปลว่า ดับ
            ถ้าจะถามว่าดับอะไร ก็ขอตอบว่าดับความทุกข์
            ท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงพระนิพพาน ท่านผู้นั้นไม่มีอารมณ์ของความทุกข์ เพราะว่าเป็นผู้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
            ที่เราต้องให้ทานกันก็เพราะว่าเราไม่ต้องการมีขันธ์ 5 เมื่อการมีขันธ์ 5 เป็นปัจจัยของความทุกข์ ที่เราต้องมีขันธ์ 5 กันก็เพราะว่าเราติดอยู่ในวัตถุ หมายความว่า เรายังมีความรู้สึกว่า สิ่งนั้นเป็นทรัพย์สินของเรา สิ่งนี้เป็นทรัพย์สินของเรา แล้วก็ธาตุ 4 ที่หุ้มห่อจิตอยู่ ที่เป็นเรือนร่างที่จิตไปอาศัย อันนี้เป็นเรา เป็นของเรา
            เป็นอันว่าเราเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเรา เป็นของเรา เมื่อเรามีความเข้าใจผิด มีความหลงผิดคิดอย่างนี้ ตัวเราก็ต้องเกิด ถ้าเราคิดว่าเรายังยึดเอาตัณหาเป็นที่ตั้ง เอาตัณหาเป็นสรณะ
            คำว่า ตัณหา แปลว่า ความทะยานอยาก อยากมีทรัพย์สิน อยากร่ำรวย อยากจะเกิดใหม่เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี อยากจะเกิดใหม่ให้หน้าตาสวยกว่านี้ อยากจะเกิดใหม่ให้มีศักดิ์ศรีกว่าเดิม หมายความว่าเรายังติดอยู่ในความอยาก ความอยากเป็นปัจจัยให้เกิด
            ฉะนั้น การให้ทานเป็นการตัดความอยาก ถ้าตัดความอยากได้เข้ามาแล้วก็เป็นการตัดอารมณ์ที่ติดในขันธ์ 5
            การให้ทานในอันดับที่เราควรจะพิจารณา ถ้าจิตของเรายังคิดว่า การให้ทานครั้งนี้ เรายังมีหวังในการตอบแทนทั้งในชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ คือ เราคิดว่าเราให้ทานกับเขาแล้ว เวลาที่เราอดอยาก มีความทุกข์เข็ญ บุคคลที่ได้รับทานจากจากเราคงอาจจะมีความเมตตาปราณีในเรา เขาจะสงเคราะห์เราให้เรามีความสุข ถ้ายังมีอารมณ์ติดอยู่อย่างนี้ก็ถือว่า ทานบารมี ของเรายังไม่เต็ม ยังหวังผลตอบแทนอันเป็นโลกีย์วิสัย
            หรือคิดว่าการให้ทานคราวนี้เราตายไปแล้ว เราจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทวดามีความสุข แล้วถ้าเกิดเราเป็นมนุษย์ เราอาศัยทานการบริจาคจะเป็นปัจจัยให้เรามีความร่ำรวยดีกว่าชาตินี้มาก เวลานี้เรามีฐานะพอกินพอใช้ เราหวังว่าถ้าเกิดไปชาติใหม่เราจะอุดมสมบูรณ์ ตัวอย่างมหาเศรษฐีทั้งหลาย ที่ปรากฏในพระสูตร ถ้าเราคิดอย่างนี้ จิตของเราก็ชื่อว่ายังไม่ถึงความเป็นอริยเจ้าขั้นสูงสุด ถ้าจะเป็นได้ก็แค่ขั้นพระโสดาบันเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น